เป็กกี้-ชมพู่ เผยความในใจถึง วิทวัจน์ หลังขาดทุนยับ ถึงขั้นคิดวางมือ

0
6725

แขกรับเชิญวันนี้ยังคงอยู่กับพิธีกรแถวหน้าของเมืองไทย วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ ที่จะมาย้อนเล่าจุดเริ่มต้นกว่าจะเป็นรายการวาไรตี้ทอล์กโชว์ชื่อดังอย่าง ตี10 ที่ปั้นดารามาประดับวงการบันเทิงมาแล้วนับไม่ถ้วนในช่วงดันดารา

พร้อมเล่าเหตุการณ์ฟ้าผ่าการฝ่าวิกฤติยุคเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิทัล เผยคิดวางมือทุกวันเหตุคงหมดยุคของตัวเองแล้ว ด้าน ชมพู่-เป็กกี้ เผยความในใจ มีวันนี้เพราะผู้ชายชื่อ วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ ทุกประเด็นในรายการคุยแซ่บ Show Special ทางช่องone31 ที่มี ชมพู่ ธัณย์สิตา และเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกร

หลังจากรายการที่ช่อง 9 มาเป็นอะไรต่อ ?

วิทวัจน์ : 4 ทุ่มสแควร์

มาเป็น 4 ทุ่มสแควร์ ได้ยังไง ?

วิทวัจน์ : ตอนนั้นเกิดจากว่าเราหมดมุกอีกแล้ว ไม่รู้จะยังไงดี เริ่มรายการใหม่ดีกว่า ลาออกจากบริษัทเดิม มันไม่มีตัวอย่างให้ดูในประเทศไทย เราทำด้วยการครีเอตมาจากความรู้สึกและครีเอทีฟไอเดียของเราล้วนๆ แต่ตอนนั้นจำได้ว่ามีเรื่องที่น่าสนใจในต่างประเทศก็คือโฮมวิดีโอ คนเค้าก็ซื้อกล้องมาถ่ายรูปถ่ายเด็ก ถ่ายภรรยา เอาลูกมาแกล้ง บีบมะนาวให้ลูกกิน ลูกขวบนึงกินแล้วก็เปรี้ยว น่ารัก ถ้าเราเอามาออกส่วนหนึ่งของรายการเราน่าสนใจจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ 4ทุ่มสแควร์ นอกจากสัมภาษณ์ก็มีโฮมวิดีโอเป็นพระเอกเลย คนชอบดูน่ารักมาก

คุณอาถือว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการทอล์กโชว์ เรตติ้งดีมาก 4ทุ่มสแควร์ยืนระยะมากี่ปี ?

วิทวัจน์ :7 ปี 7 เดือน ตอนนั้นพิธีกรมี ตุ๊ก ดวงตา กับ เด๋อ ดอกสะเดา

แล้วเกิดอะไรขึ้น คุณอาอย่าบอกนะว่าหมดมุก ?

วิทวัจน์ : หมดมุกอีกแล้ว แม้ว่าครีเอทีฟไอเดียจะขุดมาจากอากาศธาตุก็เหอะ บางทีที่เค้าเรียกว่าจนด้วยเกล้าก็คิดไม่ออก หมดมุกอีก

ทิ้งระยะนานมั้ยกว่าจะเกิดรายการใหม่อีกหนึ่งรายการที่โด่งดังมากๆเช่นกัน ?

วิทวัจน์ : หลังจากเลิก 4ทุ่มสแควร์กะไปพักยาวเลย หอบลูกกับเมียไปออสเตรเลีย ตั้งใจจะไปอยู่ระยะยาวๆ สักระยะหนึ่ง มีอยู่วันนึงนั่งดูรายการทีวีอยู่ที่ออสเตรเลียมันมีรายการนึงชื่อรายการเรียลทีวี โฮมวิดีโอจะน่ารักๆ แต่อันนี้ดูแล้วมันมีภาพนึง เค้าบอกว่าเกิดเหตุการณ์ที่มีเด็กวัยรุ่นขโมยรถถังจากกองทัพบกของอเมริกาเอามาขับเล่นอยู่กลางถนนในลอสแอนเจลิสกลาง LA รถถังคันนี้มีเด็กอายุประมาณ 16 อยู่ข้างในมันเอามาขับเล่น เค้าก็กลัวกันว่าจะยิงปืนใหญ่เป็น สนุกมาก นั่งดูอยู่ที่บ้านเพื่อน พอกลับมาเมืองไทย พี่อ้วน อรชร ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ บอกว่านายอยากคุยด้วย นายประวิทย์ มาลีนนท์ ตอนนั้นตบเข่าเลยได้งานแล้ว แล้วก็จริงตามที่คาด คุยไปคุยมาก็ชวนมาทำรายการ

และรายการที่ได้มาชื่อรายการตี 10 ?

วิทวัจน์ : ใช่ ก็นี่แหละ ตี 10

รายการที่อยู่ในใจใครหลายๆ คน เราก็ชอบด้วย เพราะเราก็เกิดจากที่นี่เหมือนกัน แล้วที่คุณอาออกไอเดียตี 10 มันเป็นแบบไหน ?

วิทวัจน์ : คุณประวิทย์ครับคิดว่าจะพร้อมได้เมื่อไหร่ ไม่ทราบ 3 เดือน-4เดือน แล้วแต่ว่าฉากเราจะได้ภายในกี่เดือนแล้วก็คอนเซปต์อื่นๆ ใดๆ อีกเรื่องนึงคุณประวิทย์ครับผมอยากได้รายการนึงชื่อรายการเรียลทีวี ผมเอา End Title ให้ดูว่าผลิตโดยบริษัทอะไร ผมไม่มีศักยภาพในการติดต่อถ้าไปโดย Channel3 Thailand เค้าจะติดต่อได้ง่าย คุณประวิทย์ก็ติดต่อเลยจะขอซื้อรายการชื่อเรียลทีวี ขอซื้อยากมาก ผ่านไป 1 เดือนก็แล้ว 2 เดือนก็แล้ว ฝ่ายจัดซื้อก็ยังจัดซื้อไม่ได้ เราก็บอกว่าถ้ายังไม่มีผมขอเลื่อนจนกว่าจะซื้อได้ มันซื้อได้ใช่มั้ยครับ เค้าบอกว่าซื้อได้แต่ยังไม่ตอบมาสักที หลังจากตอบแล้วก็ต้องมีส่งฟุตเทจมาให้เรามีเซ็นสัญญา

กว่าจะได้เรียลทีวีมาใช้เวลาทั้งหมด ?

วิทวัจน์ : 7 เดือน ก็รอไม่งั้นไม่ขึ้นรายการ

สุดท้ายก็ได้เรียลทีวีมาจึงเกิดเป็น ตี10 เรตติ้งดีมาก ?

วิทวัจน์ : เรียลทีวีตอนนั้นอาจะเป็นคนพากย์เอามาเรียลเรียงใหม่แล้วก็พากย์ให้เป็นไทยๆ ใหม่ แต่เรียลทีวีถ้าตอนสุดท้ายมีการตายเค้าจะตัดทิ้ง เค้าจะเอาแต่เรื่องที่ไม่มีความตาย ในที่สุดมันก็มีคำว่า “เดชะบุญ” อาเป็นคนพากย์ “แต่เดชะบุญผู้ชายคนนี้ไม่เป็นอะไรหลังจากรักษาตัวอยู่ 2 เดือนก็ออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ” โน้ต อุดม เอาเรื่องนี้ไปแซวบนเวทีเป็นเรื่องเป็นราว อายมาก (ยิ้ม) เอาเรียลทีวีไปแซวรู้สึกจะเดี่ยว 4

นอกจากรายการของคุณอาดังแล้วศึกชิงเรตติ้งก็เกิดขึ้น เพราะเค้ามีอีกหนึ่งรายการเหมือนกันที่เป็นเกมโชว์ มีเรตติ้งเหมือนกันแล้วเค้าก็จับมาชนกันในยุคนั้น เป็นยังไงความเข้มข้นที่เกิดขึ้น ?

วิทวัจน์ : ตอนนั้นเครียดมาก หนักหนาสาหัสมาก ตอนนั้นการวัดด้วยเรตติ้งจุดต่อจุดเลย ถ้าแข่งขันวิ่งคือวินาทีต่อวินาทีแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องทำไป

ย้อนบรรยากาศตี 10 หน่อยตอนนั้นมีกี่ช่วง ?

วิทวัจน์ : มีทอล์กโชว์, เรียลทีวี, มีช่วงคล้ายๆ ดันดารา มีร้องเพลง

สุดท้ายก็มีช่วงดันดารามาเพิ่ม ที่ทำให้คนรู้สึกว่าช่วงนี้แหละที่ทำให้คนรอดูความสามารถจากคนทางบ้าน ต้องยอมรับว่าดันดาราปั้นคนมาประดับคนบันเทิงเยอะมาก หนึ่งในนั้นก็มีเป็กด้วย แล้วคอมเมนเตเตอร์ภาพจำเลย อาโน้ต, ครูอ้วน, อาจารย์เชน จุดเริ่มต้นดันดารามายังไง ?

วิทวัจน์ : ตอนนั้นเรามีความรู้สึกว่าบ้านเรารายการที่เรียกว่า Talent Quest ก็คือคนทางบ้านมาแข่งขันความสามารถกันมันไม่มีเลย เราเชิญคนทางบ้านมาแสดงในรายการดีกว่า มีแต่คนสมัครเข้ามาร้องเพลง ตอนนั้นเราต้องการอื่นๆ ใดๆ แปลกๆ จะทำต่อดีมั้ยเนี่ย มีแต่คนร้องเพลง ทีมงานบอกว่าเอาคนร้องเพลงเนี่ยแหละ เพราะตอนนี้คนร้องเพลงเก่งๆ เยอะมาก ไปดูตามคาราโอเกะซิ ก็เอาเลยรับคนร้องเพลงเข้ามาดันทุรังเลิกเพราะว่าคนร้องเพลงเยอะมาก เสียงดีๆ ทั้งนั้นเลย หนึ่งในนั้นคือคนนี้ (ผายมือทางเป็กกี้)

ตอนเป็กกี้มาพู่ยังไม่มาเนอะ แล้วคนมาชวนคุณจำได้มั้ย ?

เป็กกี้ : ตอนนั้นคุณอาให้โอกาสหลายครั้ง ถือว่าแจ้งเกิดกันเยอะมากคุณอา มีดาราหลายๆ คนแจ้งเกิดในรายการของคุณอาด้วย คุณอาพอจำได้มั้ยว่ามีใครบ้าง ?

วิทวัจน์ : อี๊ด โปงลางสะออน สุดยอดการแจ้งเกิดในดันดารา แล้วอี๊ดก็ไปโด่งดังสร้างชื่อเสียงมากมาย เป็กกี้ ศรีธัญญาอีกคนนึง แล้วก็มียายแหวว ท๊อฟฟี่ สามบาทห้าสิบ ก๊อบปี้โชว์ทั้งหลาย

เป็กกี้ : และอีกคนที่เป็นซุปเปอร์สตาร์สายดีว่าของประเทศไทย เป็นสตาร์อยู่ทุกวันนี้คือคุณแก้ม วิชญาณี น้องสาวด้วย

ชมพู่ : ในรายการนี้พู่ภูมิใจนะได้รับเกียรติให้เป็นพิธีกรในช่วงนึงด้วย ตอนนั้นโทร.บอก “คุณอาหนูได้โฆษณาอีกแล้วนะ คุณอาหนูซื้อบ้านแล้วนะ”

เป็กกี้ : มีอีกคนนึง นนท์ ธนนท์ ทุกคนเคยมารายการตี 10 ทั้งหมดเลย

ตี 10 ถือว่าเป็นการแจ้งเกิดการรายการคอมเมนต์มั้ย ถือว่าเป็นรายการแรกที่มีคอมเมนเตเตอร์ ทำให้ประเทศไทยรู้จักว่าคอมเมนเตเตอร์คืออะไร ?

วิทวัจน์ : ใช่ครับ ได้รับอินสไปเรชันมาจากรายการของประเทศออสเตรเลียชื่อรายการ New Faces รายการนี้อยู่ในความทรงจำของอาอยู่ตลอดเวลาเพราะว่าชอบมากแล้วก็มีคอมเมนเตเตอร์แบบนี้แล้วก็ให้รางวัลฟีลนี้เลย อินสไปร์มาจากรายการนั้น

มียุคนึงที่เหมือนฟ้าผ่า ยุคเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิทัลมัน ยากลำบากเป็นยังไงบ้าง ?

วิทวัจน์ : ยากมาก เมื่อก่อนมันก็แค่ 3 5 7 9 11 ตอนนี้มันมีเป็น 20 30 ช่อง คนดูก็ย้ายจากพฤติกรรมในการดูทีวีจอใหญ่อุตส่าห์ไปซื้อมา 60 นิ้ว แล้วในที่สุดก็มาดู 4 นิ้วครึ่ง เราคนผลิตก็ตาย คนดูถูกแย่งเงินโฆษณาถูกแชร์ เงินโฆษณาก็หายไป ตอนนี้ก็ต้องเข้าไปอยู่ในโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ยูทูบ ผู้ผลิตโทรทัศน์แย่กันมากในช่วงปีสองปีแรกแต่ช่องก็ทุ่มเทกัน แล้วก็มีผู้ยอมแพ้ก็มี เลิกช่องกันไป

อันนั้นว่าโหดแล้วมีอีกระลอกนึงเค้าบอกว่าตายซ้ำซ้อนพิการซ้ำซากทีวีดิจิทัลกำลังแย่งชิงสื่อแย่งชิงโฆษณา ก็มีโควิดเข้ามาทุบเราอีก ?

วิทวัจน์ : ยังไม่ทันฟื้นดีเลย คิดว่าจะหายใจหายคอได้จะลุกขึ้นมาได้โดนเปรี้ยงขึ้นมาอีก ตายไปอีกรอบนึง ตายซ้ำตายซ้อน

ตอนนั้นเสียหายอะไรยังไงบ้าง ?

วิทวัจน์ : ก็ขาดทุน แม้แต่ดันดาราก็ขาดทุนก็เป็นธรรมชาติมีขึ้นก็ต้องมีลง เจอโควิดไปอีกก็ค่อนข้างจะหนักแม้ว่าจะดูทีวีอยู่ที่บ้านแต่ไม่ออกไปซื้อของ ดูทีวีอยู่ที่บ้านเรตติ้งทีวีดีขึ้นมาหน่อยก็จริงแต่คนขายโฆษณาหรือว่าคนซื้อโฆษณาจากเราขายของในรายการของเราไม่มีคนไปซื้อ เซเว่นปิด ล็อกดาวน์กี่เดือนล่ะ จบ

คุณอาเลือกแก้ไขอันดับแรกเลยคือลดเงินเดือนตัวเองก่อนเลย ?

วิทวัจน์ : ใช่ ลดเงินเดือนตัวเอง 60%

แต่รายการก็ฝ่าวิกฤติมาได้จนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ตี 10 มีอายุเท่าไร ?

วิทวัจน์ : 4 ทุ่มสแควร์ 7 ปี 7 เดือน ตี 10 26 ปี

เคล็ดลับการอยู่ยงคงกระพันของตี 10 คืออะไร ?

วิทวัจน์ : เค้าเรียกทนมือทนตีนครับ มันก็ต้องทนต้องสู้ไป แล้วก็แก้ไขปัญหาไปเป็นเรื่องปกติ หัวแข็งๆ เข้าไว้ทุบไม่แตกทุบไม่ตาย การทำธุรกิจก็ลดค่าใช้จ่ายแล้วก็เพิ่มรายได้ พยายามทำให้ได้มากที่สุด

อยากบอกอะไรกับกลุ่มที่รักและเป็นกำลังใจ

วิทวัจน์ : ต้องขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามผมมายาวนาน วันก่อนก็ไปเจอคุณยายยืนอยู่ข้างหน้าซุปเปอร์แล้วเราก็จ่ายของอยู่ด้านหน้า พอจ่ายเสร็จเค้าคงได้ยินเสียงแล้วจำได้ แต่เค้าไม่เห็นหน้าอาเพราะเค้ายืนอยู่ข้างหลัง แล้วเค้าก็มาขอถ่ายรูป อายุสัก 70 ก็ต้องขอขอบคุณสำหรับผู้ที่ติดตามและยังจำหน้าได้

ณ ช่วงเวลาขาขึ้นบางคนจะเอาตรงโน้นตรงนี้อีก แต่คุณอาเล่ามาไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรืออะไรก็ตาม คุณอาจะทำเพียงหนึ่งรายการเท่านั้นในมือ เพราะว่าอะไร ?

วิทวัจน์ : เพราะมีความรู้สึกว่าการทำรายการโทรทัศน์ไม่ใช่เรื่องง่าย ยากมากที่สุดก็คือการทำโทรทัศน์ให้ดี การทำโทรทัศน์อาจจะไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่จะทำให้ดีโคตรยาก เราเลยรู้สึกว่าเราคิดอะไรได้เราก็ทุ่มลงไปในนั้นหมดเลย เอาเฉพาะดันดาราไอเดียของดันดาราที่มาร้องรู้หน้าไม่รู้ใจ รู้ใครไม่รู้คุณ เราเคยนับประมาณ 200 ไอเดีย คอนเซปต์ย่อยของดันดาราประมาณ 200 ไอเดียเล็กๆ น้อยๆ ที่เราแยกกันไป ไอเดียเล็กๆ พวกนั้นออกมาทำรายการได้เลย แต่เมื่อทำไปแล้วซ้ำอยู่อย่างนั้นคนดูก็เบื่อ เพราะฉะนั้นอาคิดอะไรได้ก็ใส่เข้าไป มันจึงเป็นรายการที่เรียกว่าวาไรตี้ คนจีนเค้าเรียกจับฉ่าย

เคยคิดจะวางมือบ้างมั้ย ?

วิทวัจน์ : เคย ทำไมจะไม่เคย เคยแทบทุกวันโดยเฉพาะหลังๆ อายุปูนนี้ มีความรู้สึกว่าหมดภูมิแล้วหมดไอเดียแล้ว มันอาจจะหมดยุคของเราแล้ว คิดทุกวัน

คุณอาวางเป้ามั้ยว่าจะเกษียณตอนไหน ?

วิทวัจน์ : อยากจะเลิกสักอายุ 120 (หัวเราะ)

คุณอาบอกว่าที่ยังไม่อยากหยุดเพราะว่าไม่อยากอยู่เฉยๆ ยังอยากทำอะไรเป็นประโยชน์อยู่ กลัวอัลไซเมอร์ ?

วิทวัจน์ : ถูกต้อง ข้อมูลวิชาการทางการแพทย์เค้าบอกว่าสมองต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาเค้าบอกว่าถ้าเมื่อไหร่สมองหยุดคิดร่างกายของเราจะโรยราเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นตรงนี้อามีความรู้สึกว่าก็ทำไปเรื่อยๆ ตราบใดที่แรงยังมี ตราบใดที่สมองยังคิดได้ อยากคิด เป็นคนชอบคิด

สุดท้ายแล้วอยากได้มุมมองในการทำงาน ?

วิทวัจน์ : ธุรกิจชนิดอื่นไม่ทราบแต่ถ้าทำทีวีก็ความคิดสร้างสรรค์ครีเอทีฟไอเดีย ถ้าทำรายการโทรทัศน์ครีเอทีฟโปรดิวเซอร์ต้องดี สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่เรียนวารสาร เรียนนิเทศฯ มา ถ้าอยากทำรายการโทรทัศน์ ทำคอนเทนต์ใดๆ ในปัจจุบันนี้อาจจะเป็นคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียก็ตามครีเอทีฟไอเดียเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งหลายๆ คนก็คงจะนั่งคิดคอนเทนต์ทุกวัน

เป็กกี้ : ในส่วนของเป็กนะ เป็กภูมิใจมากตั้งแต่ออกจากบ้านคุยกับสามีว่าวันนี้เป็นวันเกียรติยศของเป็ก เป็กแตะรายการบันเทิงทีวีรายการแรกก็คือรายการตี 10 ช่วงดันดารา เป็กภูมิใจมากหลังจากที่เป็นคนธรรมดาเลยแล้ววันนี้เป็กได้นั่งตรงนี้สัมภาษณ์ คุณวิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ เรียกได้ว่านี่คืออีกหนึ่งเกียรติยศของเป็ก วันนี้กราบขอบพระคุณคุณอาที่มานั่งให้เป็กได้สัมภาษณ์ กราบขอบพระคุณจริงๆ

วิทวัจน์ : ในส่วนของเป็กคือความสามารถของเค้าล้วนเพียงแต่ว่ามันมีโอกาสนิดนึงตรงนั้นช่วงดันดาราที่เป็กมาแล้วฟูลมาก สนุกมากเทปนั้น แล้วเห็นเลยว่าคนคนนี้ไปไกลแน่ สวย ฮา ไม่ห่วงสวย

ชมพู่ : ความในใจของชมพู่นะคะ ต้องขอบคุณคุณอามากๆ ที่เห็นแววในเด็กผู้หญิงคนนี้ทั้งที่ไม่รู้ว่าใครจะมองเห็นความสามารถอะไรในตัวเราบ้างแต่คุณอาเล็งเห็นและให้โอกาสในการมาเป็นพิธีกรในช่วงนึงของรายการดันดารา เป็นงานที่เปลี่ยนชีวิตมากๆ ทำให้มีชื่อเสียงมีเงินทอง มีคนรู้จักและมีคนยอมรับเราในฐานะพิธีกรมากขึ้น ขอบคุณคุณอามากๆ ที่ให้โอกาสหนู

วิทวัจน์ : ขอบคุณที่รู้คุณค่าของโอกาส คนนี้อีกคนที่ไม่ห่วงสวย ตอนนั้นอาพูดกับชมพู่ว่าชมพู่เป็นแบบนี้เลยเป็นแบบที่ตัวเองเป็น ไม่ต้องห่วงสวย ทั้งคู่เป็นคนที่มีความสามารถ สมแล้วที่ชีวิตเค้ารุ่งเรืองแบบนี้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่