‘นิ่ม’ เปิดใจกับมูลนิธิ เล่าสาเหตุที่โยนน้องต่อทิ้งน้ำ จำต้องปกปิด-พูดเท็จทุกอย่าง

0
197

นิ่ม’ เปิดใจกับมูลนิธิ เล่ามูลเหตุที่โยนน้องต่อทิ้งน้ำ เปิดเผยไม่ตั้งใจ จะบอกใครก็ไม่ได้ บอกผัวก็กลัวโดนรังควาน จำเป็นต้องเลี้ยงลูกคลอดลูกคนเดียว ไม่สามารถเปิดใจให้ใครได้

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 27 ก.พ.66 ที่สภ.บางหลวง จ.นครปฐม นายวินท์ สุธีรชัย ประธานมูลนิธิวินวิน เปิดเผยถึงกรณีน.ส.นิ่มว่า จากทางที่มูลนิธิวินวินส่งทีมงานมาดูแลตั้งแต่แรกที่ช่วยค้นหาเด็ก สิ่งที่เราพบในพื้นที่ตั้งแต่ชาวบ้านและน.ส.นิ่ม ไม่มีความเชื่อมั่นและไม่สบายใจที่จะคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐ มูลนิธิจึงมาเป็นผู้ประสานงาน จนเป็นที่มาที่ทำให้น.ส.นิ่ม ยอมเปิดใจกับเจ้าหน้าที่รัฐและตำรวจ

ซึ่งต่อจากนี้ทางตำรวจจะพาน.ส.นิ่มไปสอบสวน หากพบการกระทำผิดจะต้องดำเนินการแจ้งความ ในกระบวนการจะมีทั้งอัยการ นักจิตวิทยา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้ามาร่วมทำงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเป็นไปตามกฎหมายทุกขั้นตอน

นายวินท์ กล่าวต่อว่า มูลนิธิจะให้ความช่วยเหลือครอบครัวของน.ส.นิ่ม เพื่อให้น.ส.นิ่มเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างสบายใจ เราจะเข้าไปดูแลแม่ของน.ส.นิ่มที่ป่วยติดเตียงเป็นอัมพฤกษ์เส้นเลือดในสมองตีบ เพื่อให้นิ่มเข้าสู่กระบวนการและเปิดเผยความจริงอย่างเต็มที่ ไม่ให้คนข้างหลังมีปัญหา เราดูแลเรื่องนี้ไปต่อเนื่องจนกระบวนการสิ้นสุดและกระจ่างว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

“ตอนนี้นิ่มยอมเปิดใจแล้วว่า ความจริงเกิดอะไรขึ้น เบื้องต้นเกิดจากความไม่ตั้งใจ เป็นอุบัติเหตุ เพราะนิ่มยังต้องดูแลพ่อแม่และลูกตัวเอง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุทำให้ลูกต้องจากไปโดยไม่ตั้งใจ แรกๆนิ่มอยู่ในสถานการณ์ที่มีคนมารุมล้อม จึงทำให้เกิดภาวะเครียด

แต่มูลนิธิมาอยู่กับนิ่มตั้งแต่แรก จึงสบายใจและยอมเปิดใจพูดคุยมากขึ้น นิ่มบอกว่าสามีไม่มีส่วนรู้เห็น เพราะนิ่มกลัว หากสามีรู้อาจจะเกิดอันตราย นี่คือที่มาที่ไปทั้งหมด ที่ไม่อยากให้ใครรู้ เพราะมีความรู้สึกว่าอยู่ในครอบครัวนี้ไม่สามารถเปิดใจให้ใครได้ จึงยอมเปิดใจกับมูลนิธิ” นายวินท์ กล่าว

ด้าน นางชลิดา พะละมาตย์ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิวินวิน กล่าวว่า ทางมูนิธิลงพื้นที่ช่วยตามหาตั้งแต่วันแรกๆ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ต้องปล่อยให้ตำรวจดำเนินการไป น.ส.นิ่มยังมีความกลัวและหวาดระแวง ที่จะให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยการที่เราคลุกคลีกับเด็กและสตรีมาเยอะ เลยใช้ความพยายามที่จะคุยน.ส.นิ่ม ทำให้น้องสบายใจ

ในช่วงแรกน.ส.นิ่มยังไม่กล้าที่จะเปิดใจ เพราะเรามารู้สาเหตุลึกๆ ที่กำลังเป็นดราม่าในโซเชียล ผลกระทบมาจากสิ่งแวดล้อม เหมือนชีวิตนี้น.ส.นิ่มอยู่คนเดียวจริงๆ คนที่ไม่รู้ ก็จะรู้สึกเกลียดชังว่าทำไมน.ส.นิ่มทำกับลูกแบบนี้ แต่พอเรามารู้ข้อมูลในด้านมืดของน.ส.นิ่ม เป็นคนที่น่าสงสารคนนึง ทำให้เราร้องไห้ไปกับน.ส.นิ่ม กับสิ่งที่เกิดอุบัติเหตุพลาดพลั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ คือสงสารน.ส.นิ่ม ที่เล่าปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างให้ฟัง ทำให้เรารู้สึกว่า เด็กคนนี้จะต้องมาเจออะไรแบบนี้

“เราต้องกลับมามองสังคมว่าเราต้องปรับหรือแก้ไขอะไรบ้าง ด้วยความที่เป็นเด็กอายุ 17 ปี เลี้ยงลูกคนเดียว ไปคลอดลูกคนเดียว เลี้ยงลูกคนเดียวทุกอย่าง โดยที่ไม่มีใครช่วยดู ทำเองคนเดียวทุกอย่าง บ้านสามีก็ไม่มีใครชอบนิ่ม เลยไม่รู้จะไปถามและปรึกษากับใคร ถามนิ่มกลับไปว่า ทำไมไม่บอกพุด ว่าเกิดอะไรขึ้น นิ่มบอกว่าไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าถ้าบอกไปแล้วจะโดนทำร้าย เลยมองว่าสิ่งที่ไม่กล้าพูดตั้งแต่ตอนแรก คือห่วงแม่ที่ป่วยติดเตียง

ถ้านิ่มโดนตำรวจจับแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะดูแลแม่ ทางมูลนิธิจะดูแลแม่ให้เรื่องการรักษา และทำกายภาพบำบัด เราทำเพราะเราไม่ได้หิวแสงอะไร แต่นี่คือมนุษย์คนหนึ่ง ตอนนี้อีกทีมงานกำลังช่วงค้นหาร่างน้องต่อริมแม่น้ำท่าจีน” นางชลิดา กล่าว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่