“ซันนี่” ตัวพ่อสร้างปัญหา สะท้อนความสัมพันธ์ชีวิตคู่ คลั่งรักแมวเติมเต็มหัวใจ

0
150

“ซันนี่” ตัวพ่อสร้างปัญหา สะท้อนความสัมพันธ์ชีวิตคู่ คลั่งรักแมวเติมเต็มหัวใจ

 

เพราะสิ่งที่รักในชีวิตคือการแสดง พอเจอบทที่ใช่ นักแสดงหนุ่มมากฝีมือ “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” เลยไม่ต้องคิดเยอะ พร้อมกระโจนใส่กับผลงานล่าสุดภาพยนตร์ “Long Live Love! ลอง ลีฟ เลิฟว์!” โดย M PICTURES ร่วมกับบริษัท แอม ว่ะฮาฮา จำกัด ผลงานกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกของ “มุก-ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ” ผู้กำกับ “เนื้อคู่ประตูถัดไป” และ “เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร” โดยมีโปรดิวเซอร์ โสฬส สุขุม พร้อมทีมนักแสดงนำตัวพ่อตัวแม่ “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต”, “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” และนักแสดงดาวรุ่งสุดฮอต “เบคกี้-รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง” มาร่วมเป็นพ่อแม่ลูกในครอบครัวที่มีปัญหา “ความสัมพันธ์” เมื่อเมตตา (ชมพู่) แฟนสาวผู้กำลังหมดเมตตา เตรียมบอกลาสติ (ซันนี่) แฟนหนุ่มไร้สติ เพราะดันความจำเสื่อม และนะโม (เบคกี้) ลูกสาวที่แทบจะท่องนะโมให้ตัวเองวันละ 3 จบ กับเรื่องวุ่นวายของพ่อแม่ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 29 มิ.ย.นี้ เลยชวน “ซันนี่” มาพูดคุย

เริ่มจากเรื่องนี้ดึงดูดอะไร “ซันนี่” ให้รับเล่น? “มุกเค้าเขียนเรื่องนี้มานานมาก เค้าทำนู่นทำนี่อยู่เลยไม่ได้ทำหนังเรื่องแรกในชีวิตสักที แล้วเค้าก็โทร.มาหาผม บอกว่าทำหนังเรื่องแรก บทมันดีมากแกต้องไปอ่าน พอได้อ่านจริงๆชอบมาก มันลึกในความรู้สึก เข้าใจความรู้สึกคนที่เจออะไรมา เลยโทร.กลับไปเลยว่าตกลงแต่เก๊กนิดนึงก่อนตกลง เค้าก็พูดนะว่าอยากได้คนนั้นคนนี้มาเล่นและพูดถึงชมพู่-อารยา ขึ้นมา ผมก็คิดว่า เออ เรายังไม่เคยร่วมงานกับเค้า แต่ตอนนั้นรอเค้าคลอดลูกก่อน ซึ่งมันคุ้มค่ากับการรอมาก ชมพู่เค้าอิน เค้าเหมาะกับคาแรกเตอร์นี้มาก”

 

 

ต้องเล่นเป็นคนมีครอบครัวมีลูกแล้ว? “ใช่ครับ เป็นครั้งแรกที่เล่นเป็นคนมีลูกแปลกดีครับ แต่เราก็เข้าใจนะเพราะเรามีลูกแมว 2 ตัว (ยิ้ม) จริงๆมันเป็นหนังของความสัมพันธ์ซึ่งดีมากๆ” ทำการบ้านกับตัวละครนี้ยังไงกับการผ่านชีวิตครอบครัว? “มันมีสองแบบในเรื่อง คือจะมีช่วงที่ความทรงจำหายไป และช่วงในอดีต จริงๆเป็นคนคนเดียวกันแต่จะต้องทำให้แตกต่างโดยสิ้นเชิง ทั้งทัศนคติ และสิ่งที่เค้าคิด เพราะความจริงคนเราเปลี่ยนไปตอนไหนเราไม่เคยรู้ตัว จนต้องมีคนมาบอกว่าเราเปลี่ยนไป” มีพาร์ตเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ไม่ดี? “สิ่งที่เค้าทำอาจจะเป็นความเห็นแก่ตัว เป็นตัวของตัวเอง เค้าอาจจะไม่ได้คิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดี” เอาอินเนอร์ความเป็นคุณพ่อมายังไง? “จริงๆมันมาซึมซับตอนเจอแคสติ้งทุกคนว่าเรารู้สึกกับใคร วิธีการเล่นของผม ผมชอบอะไรที่มัน Spontaneous ผมแทนค่าไม่ได้ ผมแล้วแต่ชะตาลิขิตหรือสิ่งที่ผมรู้สึกและสิ่งที่เจอในตอนนั้น ตอนแสดงรู้สึกยังไงก็แสดงออกไปอย่างนั้น เพราะคนเรามันรีแอ็กไม่เหมือนกันทุกวัน”

 

 

พอได้ร่วมงานจริงๆกับชมพู่-อารยา มีมุมมองกับเค้ายังไงบ้าง? “ดีมากเลยครับ เป็นแคสติ้งที่เหมาะสมมาก แล้วผมชอบมากตรงที่เค้าอินกับสิ่งที่เค้าทำ เรารู้สึกว่าเราไปในทิศทางเดียวกันได้ถูกต้องแน่นอน” น้องเบคกี้-รีเบคก้า ล่ะ? “ดีครับ เวลาเราบอกใครว่าคนนี้เล่นเป็นลูก หลายคนก็บอกว่าเออดูเป็นพ่อลูกกันจริงๆ แม้ผมจะหนุ่มมากก็ตาม (ยิ้ม) กับเบคกี้ ถามว่าแนะนำอะไรมั้ย ผมว่ามันก็เป็นประสบการณ์ของเค้า เป็นสิ่งที่เค้าจะได้เก็บเกี่ยวด้วยตัวเค้าเอง” ชมพู่เล่าว่านักแสดงทุกคน introvert หมด วิธีร่วมแสดงกันจะไม่เปิดเข้าหากันก่อน? “มันได้อะไรหลายอย่างนะ เพราะในเรื่องมันมีช่วงที่ต้องห้ามคอนเนกต์กัน เพราะเป็นความที่เราเกลียดกันไปแล้ว มันแค่เข้าใจว่าเราเจออะไรด้วยกันมาบ้าง แล้วผมต้องเข้าใจสองอย่างคือเข้าใจสิ่งที่เคยเจอกันมาและตอนที่ไม่รู้อะไรเลย จริงๆมันแล้วแต่เรื่อง ถ้าเกิดเป็นครอบครัวที่รักกัน ผ่านอะไรร่วมกันมามันก็ต้องทำความรู้จักกันเยอะๆ แต่นี่ต้องมีทั้งทำความรู้จักกันและรู้จักกันไม่ได้ด้วย”

กับมุก-ปิยะกานต์ ที่สนิทกันอยู่แล้วทำงานร่วมกันเป็นยังไงบ้าง? “ดีครับ มันดีตรงที่เราคอนเนกต์กันได้ตลอด ต่อให้เราไม่ได้ร่วมงานกันมานานมาก และได้เจอกับทีมงานที่ดี เรารู้ว่าแต่ละคนเค้ารักในสิ่งที่เค้าทำมากๆเลยยิ้มไปหมด บรรยากาศในการถ่ายทำส่วนใหญ่ถ่ายที่ จ.ระนอง ถ้าถามว่ายากลำบากแค่ไหน ลำบากตรงต้องฝากแมวไว้เกือบ 2 เดือน ไม่เจอเลย”

 

 

เรื่องนี้มีพาร์ตไหนเป็นมุมใหม่ๆที่จะได้เห็นจากซันนี่? “ใหม่หมดเลยครับ อยู่ดีๆก็มีลูกโต เสียความทรงจำ มีความสัมพันธ์กับครอบครัวใหม่ ชีวิตใหม่” ยังตื่นเต้นกับการได้รับบทใหม่ๆมั้ย? “ตื่นเต้นตลอดเลยครับ ทุกครั้งเวลากลับมาเล่นมันย้ำเตือนเราตลอดว่าเรารักสิ่งไหน ตอนเราอยู่เฉยๆไม่ได้เจอมันเรารู้ว่าอันนี้เคยรัก แต่พอมาเจอมันย้ำเตือนขึ้นมาว่าเรารักสิ่งนี้ มันเอนจอยทุกอย่างตั้งแต่อ่านบท ตื่นเต้นที่จะได้เปิดกล้อง มาเวิร์กช็อป มาเจอทีมงาน ระหว่างถ่ายทำมันเป็นการเก็บเล็กผสมน้อย เหมือนเป็นนักสะสม เราก็จะดูทุกวันเหมือนติดสมุดสติกเกอร์ว่าเราแปะทุกหน้าครบรึยัง”

พอได้รับบท “สติ” ได้มุมมองอะไรมากขึ้นมั้ย? “มันได้เข้าใจคนมากขึ้น ทุกคนมีความคิดของตัวเอง มีแนวทางชีวิตของตัวเอง มันเป็นกำไรที่สติได้เข้าใจเพราะเหมือนคนเกิดใหม่อีกครั้งได้โอกาสทำชีวิตนี้อีกครั้ง ส่วนคนดูก็จะเหมือนสืบคดี ค่อยๆลุ้นไปด้วยกัน มันเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ เรื่องราวใกล้ตัวเรา ต่อให้ไม่มีครอบครัวก็จะมีความสัมพันธ์กับเพื่อน กับครอบครัวเรา ได้เห็นว่าวิธีที่จะรักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นยังไง” คาดหวังกับการมีผลงานภาพยนตร์อีกครั้ง? “อยากให้คนได้ดูกันมากกว่า ทำได้แค่ชวนดู ส่วนด้านอื่นเราไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง”

 

 

หลายครั้งได้เห็นเวลา “ซันนี่” อยู่โหมดหนุ่มแฟชั่นเป็นไงบ้าง? “ก็เหมือนเราได้ทำงานอีกงานนึง เราก็ได้เรียนรู้โลกตรงนั้น สิ่งที่รักคือภาพยนตร์ การแสดง สิ่งอื่นเป็นสิ่งประกอบกันและกันให้เราได้เจอประสบการณ์โน่นนี่ อยู่ดีๆได้ร้องเพลงบ้าง ได้เล่นโฆษณา เลยคิดว่าจะทำไปจนกว่าจะคิดว่าไม่มีโอกาสจะได้ทำ” ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้รู้สึกวูบวาบตื่นเต้นบ้าง? “คงเป็นล่าสุดไปต่างประเทศมา ได้ไปที่ที่ไม่เคยไปเราก็จะตื่นเต้นนะ ดีใจที่ได้ไป ที่ไปมาเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรเลีย” วงการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆเรามองอย่างไรและปรับตัวอย่างไร? “เราทำได้แค่แสดง เรารักในสิ่งที่เราทำ มีคนให้โอกาสเราทำ จะได้ทำหรือไม่ได้ทำเรื่องนั้นมันคือโชคชะตา” พิจารณารับแต่ละบทยังไง? “ถ้าเป็นอะไรที่เราชอบ เราก็จะบริหารตัวเองให้ทำได้ แต่เราก็ไม่เคยมีแผน”

 

อีกสิ่งที่รักคือแมว คลั่งรักแมว จนถูกแซวว่ามีแมวไม่ต้องมีเมีย? “คำนี้ผมไม่ได้พูดนะ (ยิ้ม) แต่ไม่ได้คิดเลย รู้แค่ตอนนี้มีแมวแล้ว เอาที่ปัจจุบันเรามีแมว 2 ตัวอย่างอื่นยังไม่มี ไม่เคยรักอะไรขนาดนี้ รู้สึกดี เราก็จะเถียงแทนทุกครั้งเวลาคนบอกว่าเนี่ยเป็นทาสแมว แมวเป็นเจ้านายเรา เพราะแมวเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นสิ่งที่รักกัน เป็นความสัมพันธ์ที่รักกัน บางคนบอกว่าแมวชอบทำตัวหยิ่งแต่ผมเถียงนะ แมวผมไม่เป็น มันน่ารักมาก เหมือนเด็กที่ไม่โต เราจะรักเค้าสุดๆ เพราะเค้าไม่เถียงเรากลับ ไม่รำคาญเรา สมมติเราป่วยพวกนี้จะรู้เลยเดินวนๆ” รักแบบคิดถึงตลอดเลยมั้ย? “คิดถึงๆ เราจำได้ว่ามันตัวนิ่มแค่ไหน หอมแค่ไหน น่ารักแค่ไหน ตื่นเช้ามาก็อยู่บนเตียงสองตัว”

 

 

เรียกว่าแมวเป็นความรักฟูลฟีลหัวใจเรา ณ ตอนนี้? “ใช่ สุดๆ” รักแมวแล้วเติมเต็มเลยไม่ต้องเอาอย่างอื่น? “ไม่เกี่ยวนะ ก่อนไม่มีเค้า เราก็เป็นแบบนี้ จะมีหรือไม่มีแมวเราก็รู้สึกว่าถ้าเรารักอะไรชอบอะไรเราต้องอยู่ด้วยกันได้หมด ไม่จำเป็นว่ามีอันนี้แล้วจะไม่มีอันอื่น คนละเรื่องกัน” แปลว่าเรื่องความรัก วันนึงถ้าเจอคนที่แมตช์กับเราพอดีก็เกิดขึ้นได้? “ใช่ แต่เรายังไม่เจอคนที่รักกันจริงๆ ถ้ามีแล้วต้องรักกันจริงๆ มันเกิดขึ้นได้หมด แต่มันต้องรู้สึกจากใจจริงๆ ถ้าใช่จริงๆแล้วต่อให้มันต้องล้มเหลวก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดไม่ใช่แต่ต้องมีไว้ก่อนเพื่อให้คนมองว่ามีมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร”

ในวัยที่เติบโตของ “ซันนี่” ตอนนี้มองไปข้างหน้ายังไง? “ไม่เคยมองเลยครับ รู้สึกว่าแค่เราอยากทำอะไรก็ให้มันปลิวไปเรื่อยๆได้เจอสิ่งที่อยากทำ” มีวันที่อยากปักหลักมั่นคงกับอะไรมั้ย? “ปักหลักคือจุดไหน อาจจะเป็นความ peace of mind ก็ได้ เป็น eternal sunshine of the spotless mind มันมีความหมายนะ ถ้าจิตใจเราไม่มีจุดด่างพร้อยเราจะได้เจอ eternal sunshine หรือแสงสว่างเป็นนิรันดร์ จริงๆคนเราก็มีหมดครับ คนเรามีความสุขความทุกข์ แต่เราจะจัดการความรู้สึก รู้เท่าทันความรู้สึกเราได้แค่ไหน” เรียกว่าความมั่นคงของเราคือความมั่นคงทางจิตใจ? “ใช่ครับ สำหรับผมก็ไม่ได้แย่อะไรนะ ถ้าเรายังรู้เท่าทันความรู้สึก ยังมีความสบายใจ”

 

 

พอโตขึ้นมุมที่มองโลกออกไปเปลี่ยนมั้ย? “มันก็กลับไปกลับมานะ ทุกคนก็มีชีวิตของตัวเอง พอเราโตขึ้นเราก็เริ่มเข้าใจ เวลาเรามีสิ่งที่อยากทำใครก็ห้ามไม่ได้ คนอื่นก็มีสิ่งที่เค้าอยากทำเหมือนกัน พอเราโตขึ้นหลายๆอย่างเราต้องเจออะไรที่หนักจริงๆ เรามีครอบครัว พี่น้อง พ่อแม่ เราไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง เค้าก็แก่ขึ้นเรื่อยๆ เรามีแมวด้วย เรามีเพื่อนที่อาจจะเจอเรื่องราวที่เราต้องช่วยเหลือกันตอนไหนก็ไม่รู้ เลยรู้สึกว่าก้าวมาถึงคนโตขึ้นจริงๆแล้วล่ะ เราต้องแคร์คนอื่นให้มาก ถ้าเป็นหนังก็ดูเหมือนจะเริ่มไคลแมกซ์แล้วแหละ เดี๋ยวมันจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเยอะแยะ หลังจากที่ตอนเด็กๆเราก็เล่น เราก็เรียนหนังสือ ใช้ชีวิตวัยรุ่น จนตอนนี้รู้สึกว่าเราโตมากแล้ว คนในครอบครัวก็โตกว่าเราอีก มันจะจบยังไงไม่รู้ ชีวิตก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ อย่างตอนนี้มีแมวขึ้นมา ก็เจออะไรใหม่ๆ พออายุเยอะๆเราอาจจะไม่มีงานก็ได้ เราก็ต้องเอนจอยกับมัน ถ้าเจอพายุเราก็ต้องฝ่าไป ผมว่าทุกคนจะเซนซิทีฟขึ้นเวลาที่เราโตขึ้น บางคนอาจจะมองแค่ตัวเอง ตัวฉันอย่างเดียวมาตลอด แต่พอโตขึ้นเหมือนธรรมชาติมันดึงเราให้อ่อนโยนลงไปเอง” คนรอบข้างบอกเราว่าเราอ่อนโยนลง? “ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นวิธีที่มองสิ่งต่างๆ มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่อาจจะมากขึ้น ชัดขึ้น รู้สึกว่าเราทำอะไรให้ใครได้ เราทำให้เค้าไปเลยไม่ต้องคิดโน่นคิดนี่”

 

 

จุดเปลี่ยนที่อยากทำอะไรให้ใครเกิดขึ้นตอนไหน? “เมื่อก่อนก็ทำ พอเราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เรารู้สึกว่าสิ่งนี้ที่ได้เจอ หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล หรือสมเด็จพระสังฆราช เราได้สิ่งสิ่งหนึ่งมา มันไม่ได้เปลี่ยนชีวิตเราหรอกนะ มันเป็นสรณะในชีวิตอันหนึ่ง เป็นอันใหม่ที่เรามาบวกกับสิ่งที่เรามี และทำให้มันดีต่อไป เลยรู้สึกว่าทำอะไรให้ใครได้ก็ทำเลย ไม่ต้องรออะไรเพราะบางคนอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำ แต่เราทำให้เค้าได้ถ้าเรามีโอกาส ธรรมะไม่ได้ช่วยตัวรา ช่วยทุกอย่างที่เจอ” หลายคนอาจจะนึกไม่ถึงว่าซันนี่จะมีมุมมองนี้? “ผมก็นึกไม่ถึงเหมือนกันครับ ต้องเจอด้วยตัวเอง เราก็มีทิศทางของชีวิตเราเองว่าเราอยากเจอแบบไหน” ความสุขของซันนี่ ณ ตอนนี้? “ไม่รู้เหมือนกันนะ มันก็มีสุขๆทุกข์ๆไปเรื่อยๆ วนๆไป ถ้ามีสิ่งที่เราอยากทำ ทำอะไรที่แฮปปี้เราก็ทำแค่นั้นเอง ต่อให้มีความสุข หรือไม่มีความสุข ขอแค่เรารู้เท่าทันมัน”.

ขอบคุณข่าวจาก thairath

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่